นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่งดงามแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้นิต้าสามารถเอาชนะใจกรรมการได้สำเร็จคือ ไหวพริบและทัศนคติที่ดีในการตอบคำถาม โดยในรอบ 5 คนสุดท้าย เธอได้รับคำถามว่า “องค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติประเมินว่า ทุกๆ 3 เดือนของการล็อกดาวน์ที่ผ่านมา จะมีผู้หญิงทั่วโลกต้องทนทุกข์ทรมานจากการใช้ความรุนแรงในครอบครัวถึงราว 15 ล้านคน ถ้าคุณได้เป็นนางสาวไทย ที่ต้องเป็นตัวแทนของผู้หญิง คุณจะมีส่วนในการทำให้ปัญหาดังกล่าวลดลงได้หรือไม่ อย่างไร ?”  

     เธอตอบว่า“สำหรับการที่เกิดการทำร้ายร่างกายในครอบครัวมันเกิดขึ้น เพราะผู้หญิงถูกปลูกฝังว่าเราจะต้องเป็นคนที่ยอมคน จะต้องอ่อนแอ แต่ความจริงแล้วนะคะ ไม่เลยค่ะ เราจะต้องต่อสู้ แม้กระทั้งความรักหรือเพื่ออะไรก็ตามแต่ เราจะต้องกล้าที่จะเดินออกมา กล้าที่จะช่วยเหลือตัวเอง กล้าที่จะบอกว่าฉันจะไม่ทนกับสิ่งนี้อีกต่อไป กล้าที่จะเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งในสังคมนี้ และต้าเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ”

     ต่อมาในรอบตอบคำถาม 3 คนสุดท้าย ซึ่งสาวงามทั้ง 3 จะต้องตอบคำถามเดียว โดยคำถามคือ “ประเทศไทยถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการใช้สื่อโซเชียลมากที่สุดในโลก ถ้าคุณได้เป็นนางสาวไทยจะใช้โอกาสนี้ในการนำเสนอคอนเทนต์อะไรให้โลกรับรู้ จงแสดงวิสัยทัศน์”

     นิต้าตอบว่า "สำหรับต้านะคะ ต้าก็จะนำสถานที่ท่องเที่ยว ผลิตภัณฑ์ของชาวบ้านในชุมชน มาไลฟ์ผ่านโซเชียลมีเดีย ไม่ใช่แค่ไลฟ์ โพสต์ แชร์ ทำทุกอย่างเลยค่ะ ตอนที่ต้าไปอำนาจเจริญ ต้าไลฟ์ขายของของชาวบ้าน 1 ชั่วโมง ได้กำเงินเกือบ 20,000 บาท เพราะฉะนั้นแล้ว 1 ปีในตำแหน่งนางสาวไทย ต้าจะพัฒนาเศรษฐกิจไทยในฐานะฑูตวัฒนธรรมคนใหม่อย่างแน่นอนค่ะ"