เชื้อราบนเล็บเกิดจากอะไร

BODY

เชื้อราบนเล็บเกิดจากอะไร? เปิดสาเหตุ พร้อมแนวทางดูแลและรักษาอย่างถูกวิธี

อะไรคือสัญญาณของเชื้อราบนเล็บ ถ้าเป็นแล้วควรรักษาอย่างไรให้ถูกต้อง

โดย Panyabhassara Promchaiwattana
14 พฤศจิกายน 2568

เชื้อราบนเล็บ เป็นปัญหาผิวหนังที่หลายคนมองข้าม แต่จริงๆ แล้วมีผลต่อสุขภาพและความมั่นใจได้มาก อาการเชื้อราบนเล็บมักเริ่มจาก เล็บเปลี่ยนสี หนา ขรุขระ หรือแตกง่าย และสามารถลุกลามไปยังเล็บอื่นๆ หรือผิวรอบๆ เล็บได้ หากไม่ดูแลอย่างถูกวิธี โว้กบิวตี้พามาเจาะลึกเรื่องสาเหตุของเชื้อราบนเล็บ พร้อมวิธีป้องกัน ดูแล และรักษาแบบละเอียด

 

  • เชื้อราบนเล็บเกิดจากอะไร?

เชื้อราบนเล็บเกิดจากเชื้อราที่เข้าไปอยู่ใต้เล็บ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นหลายชนิด ดังนี้ Dermatophytes (เชื้อราผิวหนังชนิดเล็บ) เป็นสาเหตุหลักของเชื้อราบนเล็บ มักเจอในเล็บเท้ามากกว่าเล็บมือ ชอบบริเวณชื้นและอบอุ่น เช่น รองเท้าปิดหรือถุงเท้าที่อับเหงื่อ, Yeasts (ยีสต์) มักทำให้เล็บมืออักเสบและหนาขึ้น พบได้บ่อยในผู้ที่แช่มืออยู่ในน้ำบ่อยๆ และ Non-dermatophyte Molds มักเกิดในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น เบาหวาน หรือผู้ที่เคยมีบาดแผลที่เล็บ 

ปัจจัยเสี่ยงทำให้เชื้อราบนเล็บเกิดง่าย เช่น ความชื้นและอับเหงื่อ รวมถึงการใส่รองเท้าปิดหรือถุงเท้าที่เปียกเหงื่อเป็นเวลานาน ทำให้เชื้อราสามารถเจริญเติบโตใต้เล็บได้ดี รวมถึงบาดแผลหรือรอยแตกของเล็บ เล็บที่แตกหรือมีบาดแผลจะเป็นทางเข้าให้เชื้อราเข้าสู่เล็บ หรือคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันต่ำ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อน เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน โรคเรื้อรัง หรือผู้สูงอายุ จะมีโอกาสติดเชื้อราง่ายขึ้น นอกจากนี้ใครที่มีการใช้ยาหรือสารเคมีบ่อย เช่น การทาเล็บเจลหรือทำเล็บซ้ำๆ โดยไม่เว้นระยะ ทำให้เล็บอ่อนแอและเกิดเชื้อราได้

Article

Photo by Ximena Mora from Pexels

  • สัญญาณและอาการของเชื้อราบนเล็บ

เชื้อราบนเล็บอาจเริ่มต้นอย่างไม่ชัดเจน แต่เมื่อปล่อยทิ้งไว้อาการจะรุนแรงขึ้น เช่น เล็บเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง ขาว น้ำตาล หรือดำ เล็บหนาขึ้น เล็บขรุขระหรือแตกเป็นชั้น เล็บหลุดหรือโค้งผิดปกติ มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ อาจเจ็บหรือคันรอบๆ เล็บในบางราย โดยถ้าหากมีอาการแดง บวม หรือเจ็บรุนแรง ควรพบแพทย์ทันที เพราะอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย

  • การป้องกันเชื้อราบนเล็บ

การรักษาความสะอาดและแห้งของเล็บ ล้างมือและเท้าให้สะอาด เช็ดเล็บให้แห้งหลังล้างหรืออาบน้ำ โดยเฉพาะระหว่างนิ้ว ใส่รองเท้าและถุงเท้าที่ระบายอากาศได้ดี เลือกรองเท้าที่ไม่อับชื้น เปลี่ยนถุงเท้าทุกวัน หากเหงื่อออกมากควรเลือกผ้าโปร่งระบายอากาศได้ดี หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าบนพื้นสาธารณะ เช่น ห้องน้ำ ฟิตเนส สระว่ายน้ำ รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับผู้อื่น เช่น กรรไกรตัดเล็บ รองเท้า หรืออุปกรณ์ทำเล็บ ดูแลเล็บไม่ให้แตกหรือช้ำ ตัดเล็บให้ตรงและไม่ลึกเกินไป หลีกเลี่ยงการกัดหรือแกะเล็บ

Article

Photo by cottonbro studio from Pexels

  • การรักษาเชื้อราบนเล็บ

  1. ยาทาเชื้อรา (Topical Antifungal) ใช้ทาตรงบริเวณเล็บที่ติดเชื้อ เช่น Ciclopirox, Amorolfine, Efinaconazole เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีอาการเชื้อราบนเล็บเพียงเล็กน้อย ต้องทาติดต่อกันหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน จนกว่าเล็บใหม่จะขึ้น
  2. ยารับประทาน (Oral Antifungal) ใช้ในกรณีเล็บหนาหรือมีการติดเชื้อรารุนแรง เช่น Terbinafine, Itraconazole ช่วยรักษาได้ลึกและมีประสิทธิภาพสูง แต่ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำแพทย์ เนื่องจากมีผลต่อตับ ระยะเวลาใช้ยาประมาณ 6–12 สัปดาห์ (เล็บมือ) และ 12–24 สัปดาห์ (เล็บเท้า)
  3. การดูแลเสริม ตัดเล็บให้สั้นและบาง เพื่อให้ยาซึมเข้าได้ดี ใช้แปรงหรืออุปกรณ์ทำความสะอาดเล็บที่สะอาด รวมถึงใส่รองเท้าที่ระบายอากาศได้ดีระหว่างการรักษา
  4. การทำเลเซอร์รักษาเชื้อราเล็บ ใช้พลังงานแสงเพื่อฆ่าเชื้อราภายในเล็บ เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถใช้ยารับประทานได้หรือผู้ที่มีผลข้างเคียง ต้องทำซ้ำหลายครั้งและควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ภาพปก : Photo by Ron Lach from Pexels