เพื่อให้สาวๆ โว้กบิวตี้ได้ทราบถึงข้อมูลเชิงลึกอย่างครอบคลุม งานนี้เลยขอสัมภาษณ์ ดร.ณิชมน สมันตรัฐ หรือ Dr. Nicha ผู้เชี่ยวชาญที่ผ่าน American board ด้าน Naturopathic Medicine หรือการแพทย์ธรรมชาติบำบัด และเป็นผู้ก่อตั้ง NICHE Natural Health ศูนย์ Naturopathic Medicine แห่งแรกของเอเชีย เพื่อมาบอกเล่าและแชร์เคล็ดลับให้สาวๆ มีผิวสวยสุขภาพดีไปด้วยกัน

 

WHAT IS IT?

ปิโตรเลี่ยมเจลลี่ ได้มาจากกระบวนการกลั่นน้ำมัน ในโลกความงามได้นำเอาปิโตรเลี่ยมเจลลี่มาเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางอย่างแพร่หลาย ซึ่งจะผ่านกระบวนการกลั่นสารตกค้างต่างๆ ออกก่อนนำมาใช้ จะเห็นว่าในช่วงยุค 1880 ก็เริ่มมีการนำปิโตรเลี่ยมเจลลี่มาใช้อย่างแพร่หลายในอเมริกา เพราะมีราคาถูกและนำมาแปรรูปได้หลายผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่โลชั่นไปถึงผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กแรกเกิด ซึ่งในฉลากอาจจะใช้คำอื่นๆ ที่ต่างออกไป เช่น Petrolatum, White Petrolatum, Mineral Oil, Liquid Paraffin, หรือ Paraffin Oil

 

HOW DOES IT WORK?

ปิโตรเลี่ยมเจลลี่ทำหน้าที่คล้ายฟิลม์ที่เคลือบผิวไว้เป็น Waterproof Barrier ทำให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้ได้ แต่ข้อเสียคือผิวจะหายใจไม่ออก และเป็นการล็อคสิ่งตกค้างและแบคทีเรียให้อยู่ใต้ผิว ซึ่งผลที่ตามมาคือก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนได้ และปิโตรเลี่ยมเจลลี่ไม่ได้เป็นสารที่ทำให้เกิดความชุ่มชื้นด้วยตัวเอง จึงไม่ได้มีคุณสมบัติในการบำรุงผิวอย่างที่สาวๆ หลายคนเคยเข้าใจ แถมในปัจจุบันความนิยมในการใช้ปิโตรเลี่ยมเจลลี่ได้ลดลงไปมาก โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา เนื่องจากเริ่มมีคนสังเกตเห็นถึงความไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพในระยะยาวตามมา รู้อย่างนี้แล้ว สาวๆ ที่เลือกใช้ปิโตรเลี่ยมเจลลี่ในการบำรุงริมฝีปาก โว้กขอแนะนำให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกสร้างสรรค์มาเพื่อการบำรุงโดยเฉพาะจะส่งผลให้เกิดผลดีมากกว่า!

4 เหตุผลที่ควรเลี่ยงปิโตรเลี่ยมเจลลี่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

1. อาจมีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง Environmental Working Group (EWG) หรือองค์กรที่ดูแลเรื่องสารเคมีในเครื่องสำอาง อาหาร และ สิ่งแวดล้อม ได้จัดอับดับว่า White Petrolatum มีการปนเปื้อนของสาร PAHs ซึ่ง

เป็นสารก่อมะเร็งในระดับที่ค่อนข้างสูงแถมยังมีงานวิจัยอีกหลากหลายที่ชี้ให้เห็นว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อระบบภายในร่างกายรวมไปถึงเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

2. ส่งผลต่อระบบฮอร์โมน เนื่องจากปิโตรเลี่ยมเจลลี่เป็นสิ่งแปลกปลอมสำหรับร่างกาย เมื่อร่างกายได้รับเข้ามาแล้ว ร่างกายไม่มีกระบวนการนำไปใช้และขับออก เมื่อสะสมนานๆ เข้า จึงมีส่วนส่งผลรบกวนระบบฮอร์โมนภายในร่างกายโดยเฉพาะฮอร์โมนเพศหญิง เอสโตรเจน ทำให้การผลิตฮอร์โมนตามธรรมชาติในร่างกายของเราผิดเพี้ยนไป สาวๆ ที่เคยพบเจอปัญหาประจำเดือนมาผิดปกติ อาจเกิดจากสาเหตุนี้ก็เป็นได้

3. ปัญหาผิวที่เกิดจากเชื้อรา อย่างที่ได้บอกไว้ว่าปิโตรเลี่ยม เจลลี่ทำหน้าที่คล้ายฟิล์มเคลือบผิว หากเครื่องสำอางมีส่วนผสมของปิโตรเลี่ยม เจลลี่อาจะส่งผลให้เกิดการอุดตันได้ง่าย แถมความอุ่นและความชื้นที่ถูกเคลือบไว้ใต้ปิโตรเลี่ยม เจลลี่ยังกลายเป็นที่เจริญเติบโตชั้นดีของเจ้าเชื้อรา

4. เกิดการอักเสบภายในปอด แม้เหตุผลสุดท้ายจะอัตราการเกิดน้อยกว่า แต่ยังมีบางเคสที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบในปอดเนื่องมาจากการมีน้ำมันเข้าไปในหลอดลม หรือที่เรียกว่า Lipoid pneumonia เช่นสาวๆ บางคนชอบทาที่จมูกหรือโพรงจมูก เมื่อสัมผัสกับอุณภูมิร่างกาย อาจทำให้เนื้อผลิตภัณฑ์ละลายและสะสมเป็นน้ำมันอยู่ในปอด และเกิดการอักเสบตามมาได้อีกด้วย

ถ้าไม่ใช้ปิโตรเลี่ยม เจลลี่แล้วใช้อะไรแทนได้บ้างล่ะ ถึงจะให้ผลดีต่อสุขภาพภายในรวมไปถึงผิวภายนอก?

แนะนำให้ลองมองหาผลิตภัณฑ์การบำรุงผิวที่ได้จากธรรมชาติต่างๆ เหล่านี้ รับรองได้เลยว่าปลอดภัยแน่นอนแถมยังได้ผลลัพท์คือผิวสวยสุขภาพอีกต่างหาก ...

1. ขี้ผึ้ง (Beewax) ส่วนผสมยอดฮิตที่มักอยู่ในบาล์มบำรุงผิว มีเนื้อสัมผัสที่ช่วยปกป้องผิวได้เป็นอย่างดี

2. เชีย บัตเตอร์ (Shea Butter) เปรียบเป็นซูเปอร์ฟู้ดของผิวเลยทีเดียว มักพบในมอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิว เพราะอัดแน่นมาด้วยวิตามิน เอ และ วิตามิน อี และ ไขมันที่ช่วยบำรุงผิว ซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มการผลิตของคอลลาเจนในผิวหนัง

3. โกโก้ บัตเตอร์ (Cocoa Butter) แหล่งรวมของสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี จึงมีส่วนช่วยในการชะลอวัยได้อย่างตรงจุด

4. น้ำมันมะพร้าว (Coconut Oil) น้ำมันยอดฮิตที่สาวๆ เลือกให้เป็นน้ำมันสุดโปรดของใครหลายคน เพราะช่วยเติมความชุ่มชื้นได้อย่างล้ำลึก แถมสาวๆ ผิวแทนยังชอบใช้บำรุงผิวเพื่อให้สีผิวที่อาบแดดมาติดทนบนผิวได้ดีอีกด้วย

5. น้ำมันอัลมอนด์ (Almond Oil) เป็นน้ำมันที่ไม่มีกลิ่นและมีคุณสมบัติช่วยในการบำรุงผิวได้ดี เหมาะกับนำมาผสมกับ Essential Oils ช่วยเพิ่มความผ่อนคลายไปด้วยในตัว

6. น้ำมันโจโจบ้า (Jojoba Oil) ด้วยความที่มีลักษณะใกล้เคียงกับน้ำมันในผิวเรา (sebum) จึงเหมาะกับสาวผิวมัน เพราะจะช่วยควบคุมปริมาณความชุ่มชื้นบนผิวได้ดี โดยไม่ทำให้ผิวมันเพิ่มแต่อย่างใด