London Eau de Parfum จาก Burberry (ราคา 4,650 บาท / 100 ml)

น้ำหอมสไตล์กลิ่นฟลอรัลที่เปิดมาด้วยกลิ่นของดอกมะลิ ผสมผสานความสดชื่นเข้าไปด้วยกลิ่นของส้มแทงเจอรีน ปิดท้ายด้วยการเพิ่มความเย้ายวนของกลิ่น Sandalwood, Musk และ Patchouli จึงเหมาะกับการฉีดให้โอกาสตอนกลางคืนหรือช่วงที่อากาศเย็นสบาย แถมมีการปรับเปลี่ยนแพ็กเกจจิ้งใหม่ด้วยขวดดีไซน์เก๋ที่สื่อให้เห็นถึงความเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับโลก

Flora Eau de Toilette จาก Gucci (ราคา 3,800 บาท / 50 ml)

เป็นการรวมกล่ินหอมของดอกไม้นานาชนิด มีกลิ่นความเป็นแป้งเล็กน้อย โดยรวมคือเป็นให้ลุคสวยหรูดูแพง มีความเป็นเฟมินีน ดูเป็นผู้หญิงมีความมั่นใจแต่ยังแอบซ่อนความอ่อนโยนไว้ในตัว เหมาะสำหรับฉีดในช่วงซัมเมอร์หรือช่วงกลางวันที่ต้องออกไปทำกิจกรรมข้างนอก

Fresh Gold Couture จาก Moschino (ราคา 1,800 บาท / 30 ml)

แพ็กเกจจิ้งโดดเด่นมาแต่ไกลด้วยรูปลักษณ์ของขวดสเปรย์ที่เป็นซิกเจเนอร์ของแบรนด์นี้ ซึ่งกลิ่นนี้เป็นกลิ่นแนวฟรุตตี้ที่ได้ส่วนผสมจากผลไม้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นลูกแพร ส้มแมนดาริน แอปเปิ้ล พีช มะม่วง และเกรปฟรุต พร้อมได้กลิ่นมัสก์และวนิลาเข้ามาเพิ่มนุ่มนวล เพื่อไม่ให้กลิ่นหวานเลี่ยนจนเกินไป

La Femme Intense Eau de Parfum จาก Prada (ราคา 5,400 บาท / 100 ml)

Kenzo World Power Eau de Toilette จาก Kenzo (ราคา 2,300 บาท / 30 ml)

กลิ่นหอมสไตล์ Powdery เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ ของแป้งผสานความรู้สึึกสดชื่นด้วยกลิ่นของดอก Immortelle ปิดท้ายด้วยกลิ่นนุ่มลึกของทองก้าบีน เหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีความมั่นใจและเป็นตัวของตัวเอง

J'adore Eau De Parfum จาก Dior (ราคา 3,000 บาท / 30 ml)

กลิ่นหอมสุดคลาสสิกที่ใครหลายคนควรมีติดบ้านไว้ โดดเด่นด้วยส่วนผสมชั้นดีจากทั่วทุกมุมโลก เช่น มะลิแซมบัคของอินเดีย, กุหลาบดามัสก์จากตุรกี, ไม้จันทน์เทศศรีลังกา และอื่นๆ อีกมากมาย โดยรวมแล้วกลิ่นค่อนข้างมีความเป็นผู้ใหญ่สูงหรือเหมาะสำหรับโอกาสสำคัญที่ต้องการเพิ่มความมั่นใจให้กับลุค กลิ่นหอมติดทนนาน